สังคมไทยในระบอบประชาธิปไตย เป็นภาพจำที่คนไทยทุกคนนึกคิด และเรียนรู้จากบทเรียนหรือคำบอกเล่าต่อๆ กันมา แต่เมื่อถึงยุคสมัยหนึ่งประชาชนเกิดการตั้งคำถาม ถึงประชาธิปไตยที่เขาตามหาและต้องการ จนถึงจุดที่มัน “ระเบิด” ออกมา การเคลื่อนไหวของมวลชนที่เกิดขึ้น เป็นไปเพื่อการเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริง เพื่ออนาคตของพวกเราทุกคนที่กำลังถูกอำนาจมืดครอบงำ
นิทรรศการ นิ/ราษฎร์: THE L/ROYAL MONUMENT จัดขึ้นโดย คุณวิทวัส ทองเขียว เป็นศิลปินที่ยืนหยัดอยู่เคียงข้างประชาธิปไตย ใช้งานจิตรกรรมของตัวเองเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวิกฤตของประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตย บันทึกจากสิ่งที่เขาพบเจอ เล่าเรื่องราวผ่านรูปแบบของการอุปลักษณ์ ในนิทรรศการครั้งนี้ได้นำภาษาพื้นฐานของศิลปะภาพเหมือนมาใช้ โดยคุณวิทวัสได้ใช้ภาพวาดในการสื่อสารทั้งทางตรง และทางอ้อม โดยมีแก่นหลักคือการกล่าวถึง การเมือง จากประสบการณ์โดยตรงที่เขาได้ไปสังเกตการณ์ ได้พบเห็นความรุนแรงที่เกิดจากฝ่ายอำนาจนิยมที่กระทำต่อประชาชน “ปิดปาก” บีบให้ประชาชนโดนลดทอนสิทธิและเสรีภาพ ลดปากเสียงที่จะบอกเล่าข่าวของสื่อมวลชนทุกแขนง เพื่อกุมอำนาจให้ยังคงอยู่ในกำมือ ในนิทรรศการนี้จะใช้ภาพทิวทัศน์ ภาพเหมือน และภาพถ่ายที่เข้ากับประเด็นในสังคม เพื่อใช้เป็นภาษาในการสื่อสารทางศิลปะร่วมสมัยนั่นเอง
นิทรรศการนี้แบ่งออกเป็น 2 ชั้น 4 ห้อง เมื่อเดินเข้าไปที่ชั้นแรกจะเจอกับห้องจัดแสดงภาพที่สื่อความหมายและนัยยะสำคัญเอาไว้ เป็นภาพมุมมองสถานที่ที่เราคุ้นตากันเป็นอย่างดี เช่น แยกราชประสงค์, ท้องสนามหลวง, ถนนราชดำเนิน โดยมีการเกริ่นนำไว้ว่า “ความทรงจำต่อชั่วขณะ เวลาการเปลี่ยนผ่านของวันและยุคสมัยที่แสนสามานย์ ชั่วคราวเกินกว่าจะถูกบันทึกประวัติศาสตร์ทางการ” ภาพที่เห็นเด่นชัดในห้องนี้ เห็นจะเป็นภาพท้องฟ้าในยามเย็น แสงสีส้มสดใสเด่นเป็นสง่า เพราะเวลาโพล้เพล้ คือช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่าน หากได้มาสังเกตภาพนี้จะดูออกว่าเป็นช่วงเวลาเย็นไปมืด เป็นอีกนัยยะหนึ่งที่แสดงถึงการเปลี่ยนผ่านในสิ่งต่างๆ นั่นเอง
ภาพแยกราชประสงค์ ที่เห็นเด่นชัดมากๆ นี้ เกิดจากการใช้มุมมองของมนุษย์เราที่มักมองอะไรเพียงด้านเดียว และค่อนข้างฉาบฉวย เห็นความสวยงามของสีในอีกด้านของถนน แต่ด้านหลังกลับเปรอะเปื้อนเป็นคราบดำไม่น่ามอง เหมือนสังคมไทยที่มักจะมองตามสิ่งที่เขาอยากให้มอง คล้ายมีมือที่มองไม่เห็นคอยจับหน้าให้หันซ้ายหรือขวาตามแต่จะกำหนด ไม่เคยคิดที่จะมองย้อนกลับไปดูความเป็นจริงที่เกิดขึ้น และเลือกมองแต่สิ่งที่ดีงามเท่านั้น
เมื่อเดินมาอีกฝั่งหนึ่งของห้องจัดแสดงจะพบกับภาพวาดของบุคคล และสิ่งของสำคัญของนักโทษทางการเมือง ซึ่งเป็น 4 รูปภาพที่สื่อความหมายแตกต่างกันออกไป ฉากหลังสีน้ำเงินเป็นตัวแทนของความโศกเศร้า หรือความทุกข์ของคนทั้ง 4 ที่กำลังเผชิญอยู่ในขณะนั้น รูปแรกที่เห็นคือ ทนายอานนท์ สะพายกระเป๋ากระต่ายน้อย ทำให้จากมุมมองนี้เขาทั้งดูเข้มแข็ง แต่ก็มีมุมที่อ่อนโยนเช่นกัน
ถัดมาเป็นภาพเหรียญที่มีลักษณะคล้ายกับเหรียญสิบบาทไทย ซึ่งคนในภาพนี้โดนแจ้งข้อหา ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เพียงเพราะโพสต์ข้อความขายเหรียญเก่าเท่านั้น ส่วนอีกภาพนั้นหากเห็นสัญลักษณ์ที่ถุงผ้า หลายคนอาจจะรู้จักคุณลุงคนนี้ เขาจึงนำเสนอในด้านของสิ่งของที่สามารถบอกตัวตนของเจ้าของได้ และทำให้คนได้เข้าใจสิ่งที่เจ้าของกำลังเผชิญอยู่ด้วยเช่นกัน
เมื่อขึ้นไปที่ชั้น 2 จะพบเจอกับความมืดที่ปกคลุมมากกว่าชั้นแรก เป็นห้องจัดแสดงที่มีชื่อว่า ภาพจำ “ความเป็นคน” (MEMORABILIA) เป็นผลงานภาพถ่ายทั่วไปในกรุงเทพฯ ทั้งหมด 26 ภาพ ภายในภาพทั้งหมดจะปรากฏความไม่เท่าเทียมในสังคมไทย ซึ่งเขามองว่า คนเหล่านี้ไม่ต้องมาทำแบบนี้ก็ได้ถ้าสังคมมันดีกว่านี้ เพียงแค่มีสวัสดิการดีๆ มารองรับ เราทุกคนก็อาจจะเท่าเทียมกันได้
ถัดไปที่ห้องข้างๆ จะเจอกับกองหนังสือที่สูงมากๆ จรดเพดาน ห้องนี้อธิบายเอาไว้ว่า “การรื้อสร้างปริมณฑลความคิดและการทดลองของศิลปิน การทำลายเส้นแบ่งของโลกความจริงและจินตนาการ” (THE ARTIST’S TRIAL) เกิดจากการคิดที่จะตั้งกองหนังสือเพื่อให้สูงถึงเพดาน ซึ่งเขาใช้เวลาตั้งหลายรอบมากๆ ไม่ว่ายังไงก็ยังคงล้มลงมาอยู่ดี ซึ่งเมื่อสำเร็จแล้วจึงได้ชื่อผลงานว่า “ดันเพดาน”
มองกลับไปอีกด้านจะเจอกับผลงานที่ชื่อว่า “เทอญ” มีลักษณะเป็นกรอบรูปที่หันหลัง ให้คนดูได้ตีความหมายกันเอาเองว่าต้องการสื่อถึงอะไร และภาพวาดนั้นคือภาพของอะไร ก่อนเดินออกจากห้อง จะเห็นภาพท้องฟ้าและก้อนเมฆ ซึ่งวางอยู่บนขาตั้งวาดภาพโบราณ แต่ถูกกลับหัวกลับหางเพื่อสื่อสารบางอย่าง
นิ/ราษฎร์: THE L/ROYAL MONUMENT
โดย
วิทวัส ทองเขียว
ชั้น 1 และ 2 อาคารหอศิลป์ SAC Gallery
22 มิถุนายน – 31 ตุลาคม 2564
เปิดให้เข้าชม อังคาร - เสาร์ เวลา 10.00 – 18.00น.
สอบถามเพิ่มเติม : SAC Gallery