fb
หน้าแรก /
อีเว้นท์ /
ชีวิตคนเมือง /
แก้ชงด้วยการ "บริจาคเลือด" ได้บุญแถมสุขภาพดี!
ชีวิตคนเมือง
แก้ชงด้วยการ "บริจาคเลือด" ได้บุญแถมสุขภาพดี!
Eventpass Team
เผยแพร่เมื่อ 10 ก.พ. 2565
fav
fav

การบริจาคเลือดถือว่าเป็นวิธีการทำบุญที่คนส่วนใหญ่นิยมทำในปัจจุบัน แล้วมันลามไปถึงการแก้ปีชงได้ด้วย แต่ว่าถ้าไม่นับว่าเป็นผู้ให้หรืออยากจะทำบุญ การบริจาคเลือดก็มีส่วนดีต่อสุขภาพหลายอย่างเหมือนกัน ไม่เชื่อลองอ่านดูแล้วจะรู้เลยว่าไม่ได้แค่บุญ แต่ได้สุขภาพดีกลับไปด้วยนะ

.

1.ทำให้สุขภาพแข็งแรงขึ้น

การบริจาคเลือดมีส่วนช่วยให้สุขภาพแข็งแรงมากขึ้น เพราะว่าการที่เราดูดเลือดออกไปนั้นมันจะไปช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดใหม่ขึ้นมา แล้วจะช่วยกระตุ้นให้การทำงานของระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดีขึ้นกว่าเดิมด้วย

2.ช่วยให้ผิวพรรณ รูปร่างดูดีขึ้น

ต่อจากข้อเมื่อกี้นอกจากจะทำให้สุขภาพดีแล้ว ยังช่วยทำให้ผิวพรรณ และหุ่นเราดูดีขึ้นอีกด้วย เพราะเลือดที่ผลิตมาใหม่จะช่วยในเรื่องของผิวเปล่งปลั่งดูสุขภาพดี และการทำงานในระบบต่าง ๆ ของร่างกายก็ทำงานได้ดีขึ้นด้วย

3.ลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคต่าง ๆ

นอกจากการบริจาคเลือดจะทำให้สุขภาพแข็งแรงแล้ว ยังมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคต่าง ๆ เช่น มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ เพราะมีงานวิจัยบอกว่าถ้าร่างกายของเรามีธาตุเหล็กในร่างกายมากเกินไป อาจส่งผลต่อความเสี่ยงโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตันหรือมะเร็งบางชนิด การบริจาคเลือดจะช่วยลดปริมาณธาตุเหล็กส่วนเกินนั้นได้ 

.

คุณสมบัติของผู้บริจาคเลือด

1.ต้องมีน้ำหนัก 45 กิโลกรัมขึ้นไป

2.ต้องมีอายุระหว่าง 17-70 ปี บริบูรณ์ โดยต้องทำตามเงื่อนไขดังนี้

- ผู้บริจาคโลหิตต้องมีอายุ 17 ปี ไม่ถึง 18 ปี ต้องมีเอกสารยินยอมจากผู้ปกครอง แต่อายุ 18 ปี สามารถตัดสินใจบริจาคโลหิตได้ด้วยตนเอง เช่นเดียวกับการมีสิทธิเลือกตั้ง

- ผู้บริจาคที่มีอายุมากกว่า 60-65 ปี และบริจาคต่อเนื่องมาตลอด ให้บริจาคได้ทุก 3 เดือน ที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ หน่วยเคลื่อนที่ และภาคบริการโลหิตแห่งชาติ

- ผู้บริจาคที่มีอายุมากกว่า 65 -70 ปี และบริจาคต่อเนื่องมาตลอด ให้บริจาคได้ทุก 6 เดือน  และต้องมีการตรวจนับจำนวนของเม็ดเลือดทุกชนิดทุกครั้ง ไม่รับบริจาคในหน่วยเคลื่อนที่

3.ต้องมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว ไม่อยู่ระหว่างป่วย หรือกำลังรับประทานยาใดๆ

4.ไม่มีอาการท้องเสีย ท้องร่วง ใน 7 วันที่ผ่านมา

5.น้ำหนักต้องไม่ลดผิดปกติในระยะ 3 เดือนที่ผ่านมา โดยไม่ทราบสาเหตุ

6.ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ หรือติดยาเสพติด

7.สตรีต้องไม่อยู่ในระหว่างมีประจำเดือน ตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร และไม่มีการคลอดบุตรหรือแท้งบุตรภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา

8.หากถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูนหรือรักษารากฟัน ต้องทิ้งระยะอย่างน้อย 3 วัน

9.หากเคยได้รับการผ่าตัดใหญ่ต้องเกิน 6 เดือน, ผ่าตัดเล็ก ต้องเกิน 1 เดือน

10.หากมีประวัติเจ็บป่วยและได้รับโลหิตของผู้อื่น ต้องเกิน 1 ปีถึงจะบริจาคได้ *หากผู้บริจาคที่เคยได้รับโลหิตจากผู้บริจาคในประเทศอังกฤษหรือเคยพำนักอยู่ในประเทศอังกฤษ ระหว่างปี พ.ศ. 2523 - 2539 หรือเคยพำนักในทวีปยุโรป รวมระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523- ปัจจุบัน งดรับบริจาคเลือดถาวร

11.ต้องไม่ได้รับวัคซีนในระยะ 14 วัน หรือเซรุ่มในระยะ 1 ปีที่ผ่านมา

12.การสักหรือการเจาะผิวหนัง หากกระทำด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ที่สะอาด ปราศจากเชื้อ โดยผู้ชำนาญและเป็นเข็มหรือวัสดุที่ใช้ครั้งเดียวเฉพาะตัว ควรเว้นระยะเวลาให้แผลอักเสบจากการเจาะหู หายสนิท อย่างน้อย 7 วัน หากผู้บริจาคโลหิตไม่มั่นใจว่าการเจาะหูทำได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ ควรงดบริจาคโลหิตอย่างน้อย 1 ปีหลังการเจาะหู เจาะอวัยวะ และอื่นๆ ข้างต้น

13.ไม่เคยเดินทางหรือพำนักในพื้นที่ที่มีเชื้อมาลาเรียชุกชุมในระยะ 1 ปี หรือเคยป่วยเป็น โรคมาลาเรียในระยะ 3 ปี

14.ผู้ที่เคยเป็นโรคตับอักเสบให้งดบริจาคโลหิต และปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจติดตามภาวะของโรคต่อไป

.

วิธีเตรียมตัวก่อนไปบริจาคเลือด

1.ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 6 ชั่วโมง ในคืนก่อนวันที่จะมาบริจาคโลหิต

2.ควรรับประทานอาหารมื้อหลักก่อนมาบริจาคโลหิต โดยหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง อาหารที่ประกอบด้วย กะทิ ของทอด ของหวาน ฯลฯ เนื่องจากจะทำให้สีพลาสมาผิดปกติ เป็นสีขาวขุ่น ซึ่งไม่สามารถนำไปใช้ได้

3.การดื่มน้ำ 3-4 แก้ว และเครื่องดื่มเพิ่มเติม เช่น น้ำผลไม้ นม น้ำหวาน จะช่วยเพิ่มปริมาณโลหิตแก่ร่างกาย และช่วยป้องกันอาการแทรกซ้อนภายหลังการบริจาคโลหิต เช่น มึนงง อ่อนเพลีย วิงเวียนศีรษะ หรือเป็นลม

4.งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ก่อนมาบริจาคโลหิต 24 ชั่วโมง

5.งดสูบบุหรี่ก่อนและหลังบริจาคโลหิต 1 ชั่วโมง เพื่อให้ปอดฟอกโลหิตได้ดี

6.ควรเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่แขนเสื้อไม่คับจนเกินไป สามารถดึงขึ้นเหนือข้อศอกได้อย่างน้อย 3 นิ้ว

7.กรณีรับประทานยาแก้ปวด ให้เว้นอย่างน้อย 3 วัน จึงสามารถบริจาคโลหิตได้

8.กรณีรับประทานยาปฏิชีวนะ ให้เว้นให้เว้น 1 สัปดาห์ จึงสามารถบริจาคโลหิตได้

.

ที่จริงยังมีประโยชน์อื่น ๆ ที่จะได้รับ เช่นการตรวจรักษาฟรี การสร้างระเบียบวินัย แต่ว่าทั้งหมดนั้นเป็นปัจจัยภายนอกมากกว่า แต่ถ้าบริจาคเลือดแล้วจะช่วยให้สุขภาพดีขึ้นแบบนี้มันก็น่าสนใจอยู่นะ แล้วได้บุญไปอีกต่อเพราะฉะนั้นอย่าช้าไปบริจาคพร้อมกันโลดด

.

.

ที่มา

รวมประโยชน์ของการบริจาคเลือด ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

https://www.innnews.co.th/lifestyle/news_92366/

https://www.sanook.com/health/28317/

https://www.rama.mahidol.ac.th/th/blood_bank



ดูบทความอื่น ๆ ได้ที่นี่เลย....



👉 สรุป 3 เรื่อง "ยื่นภาษีออนไลน์ 2565" มีอะไรเปลี่ยนบ้าง ต้องดู



👉 รวมสถานที่จดทะเบียนสมรสยอดนิยมในวันวาเลนไทน์



👉 Right to Privacy การเคารพสิทธิส่วนบุคคลในเด็กที่พ่อแม่ควรรู้

แชร์ :
แท็ก
LogoLogo
Logo
บริษัท อีเว้นท์ไทย จำกัด
47/313 อาคารไคตัค ชั้น 5 ถนนป๊อปปูล่า ต.บ้านใหม่
อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 11120
ติดตามเรา :
fbigttx
เครื่องหมายรับรอง :
dbd
©2025 Eventthai Co.,Ltd. All rights reserved.
Version 1.3.1